Fitbit Charge 4 สายรัดอัจฉริยะหรือ Fitness Tracker ระดับ Hi-End มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ ดีไซน์ปรับใหม่ (เล็กน้อย) ประสิทธิภาพดีกว่าเดิม และราคาที่คุ้มค่ายิ่งขึ้น
สำหรับใครที่กำลังมองหาสายรัดข้อมืออัจฉริยะ ขอเซ็นเซอร์แม่น ๆ มีฟีเจอร์เพื่อการออกกำลังกายโดยเฉพาะ และราคาสมเหตุสมผล รีวิวนี้ขอเสนอ Fitbit Charge 4 สายรัดข้อมืออัจฉริยะรุ่นนิยมจาก Fitbit ที่ตอนนี้ได้พัฒนามาถึงรุ่นที่ 4 แล้ว ซึ่งรอบนี้ได้เพิ่มฟีเจอร์ (ที่ควรจะมี) อย่าง GPS ในตัว กับ ควบคุมเพลงจาก Spotify ได้ นอกนั้นก็มีการพัฒนาเซ็นเซอร์ให้มีประสิทธิภาพขึ้น ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลยครับ
รายละเอียดฟีเจอร์และสเปก Fitbit Charge 4 (ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่)
เซนเซอร์ : Heart rate sensor, 3-Axis Accelerometer , Altimeter , GPS
หน้าจอ : OLED ขนาด 1 นิ้ว 160 x 100 ใช้งานแบบสัมผัส Gorilla Glass 3
ขนาดตัวเรือน : 35.8 x 22.7 x 12.5 มิลลิเมตร
การเชื่อมต่อ : Bluetooth 4.0
ขนาด : 35.8mm l x 22.7mm w x 12.5mm
แบตฯ : Lithium-polymer ใช้งานสูงสุด 7 วัน (หากเปิด GPS อยู่ได้ 5 วัน)
แกะกล่อง
- Classic black band สายสำรอง x 1
- USB port to charge สายชาร์จ x 1
- Fitbit Charge 4 ตัวเครื่อง x 1
- Owner’s manual ชุดคู่มือ x2
ดีไซน์
หน้าตาโดยรวมของ Fitbit Charge 4 ก็แทบไม่ต่างจาก Charge 3 มากนัก โดยสายรัดก็มีลวดลายเดิม และใช้ปุ่มกดแบบสัมผัสเหมือนเคย แต่ด้วยความเป็น Fibit ก็ต้องยอมรับว่าออกแบบได้ดูมีราคาจริง ๆ และไม่เด่นจนสะดุดตาเกินไป จุดนี้ใครที่มีนาฬิกาอยู่แล้ว ก็สามารถใส่ตัว Charge 4 อีกข้างได้โดยไม่ดูแปลกตา ดูคล้ายกำลังใส่ Wristband มากกว่า
จอแสดงผล OLED แบบสีขาวดำขนาด 1 นิ้ว ความละเอียด 160 x 100 ครอบด้วยกระจก Gorilla Glass 3 กับขนาดตัวเรือน 35.8 x 22.7 x 12.5 มิลลิเมตร
จอแสดงผล OLED แบบสีขาวดำ ครอบด้วยกระจก Gorilla Glass 3 กับขนาดตัวเรือน 35.8 x 22.7 x 12.5 มิลลิเมตร
ด้านวัสดุ ตัวเรือนใช้ Plastic Resin เป็นโครงหลัก มีความทนทาน สายรัดเป็นโพลิเมอร์ยืดหยุ่นสูง สวมใส่ได้สบาย และใส่ได้นาน ๆ โดยไม่รู้สึกแพ้หรือคัน (แบบที่รุ่นก่อน ๆ เคยมีปัญหานี้มาแล้ว) อีกทั้งยังถอดเปลี่ยนสายได้ง่าย เพียงแค่ดันตัวล็อคครั้งเดียวก็ถอดออกได้ทันที
การใช้งาน
สำหรับการใช้งานหลัก ๆ ของสายรัดอัจฉริยะ ก็ไม่พ้นดูเวลากับเก็บสถิติ (แต่ดูเวลาน่าจะได้ใช้บ่อยสุด..) อย่างไรก็ตาม Fitbit Charge 4 ก็มีการพัฒนาหน้า UI ใหม่นิด ๆ แต่ทีเด็ดครั้งนี้คือ
ควบคุมการเล่นเพลงบน Spotify ได้ (บัญชี Premium นะ) ต้องบอกก่อนว่า Fitbit Charge 4 เป็นสายรัดอัจฉริยะ ไม่ใช่นาฬิกาอัจฉริยะที่ควบคุม Spotify ได้สะดวกกว่า แต่ตัว Fitbit Charge 4 ก็ทำออกมาได้ดีกว่าที่คิด ตัวเครื่องสามารถเลือก Playlist ที่เรามีในบัญชีผู้ใช้ และกดเปลี่ยนเพลงไปมา กับกดสุ่มเพลงได้
หน้าเมนูหลักของ Fitbit Charge 4 ก็ประกอบไปด้วย Exercise โหมดตรวจจับการออกกำลังกาย Spotify ควบคุมแอปฯ เพลงออนไลน์ Agenda ส่องปฏิทิน Relax ช่วยควบคุมการหายใจ Timers จับเวลา Alarms ตั้งเวลาแจ้งเตือน Weather เช็คสภาพอากาศ (ความดีงามของ GPS ในตัว) และสุดท้าย Settings ตั้งค่าตัวเครื่อง
ในหน้า Exercise หรือโหมดตรวจจับการออกกำลังกายนั้น จะมีให้เลือกโหมดออกกำลังถึง แบบ อาทิ Run, Bike, Swim, Treadmill, Outdoor Workout และ Walk ในที่นี้ลองเลือก Walk พร้อมเปิด GPS ในตัว Fitbit Charge 4 ซึ่งผลจะเป็นยังไง ลองดูในหัวข้อถัดไปเลยครับ
ประสิทธิภาพ
ปัญหาอย่างหนึ่งที่เคยเจอใน Fitbit หลาย ๆ รุ่นคือ Sync ช้ามากกกก แต่ในรุ่น Fitbit Charge 4 ก็พัฒนาให้เชื่อมต่อเร็วขึ้นบ้างแล้ว โดยยังใช้แอปฯ fitbit หรือ Fitbit: Health & Fitness เช่นเคย
ในหน้าแอปฯ fitbit ก็แสดงผลออกมาได้สวยงามและดูเข้าใจง่ายมาก แม้จะยังไม่รองรับภาษาไทยก็ตาม
ข้อดีของการมี GPS ในตัวคือ ‘ไม่ต้องเพิ่งสมาร์ทโฟน’ ใครที่เป็นสายวิ่งก็สามารถพกแต่ตัว Fitbit Charge 4 เท่านั้น ไม่ต้องพกสมาร์ทโฟนให้หนักหรือเสี่ยงร่วงตกพื้น และผลที่ได้จากการลองโหมด Walk พร้อมเปิด GPS ก็ออกมาแม่นยำดีมาก สามารถจับระยะทางและอัตราการเผาผลาญได้อย่างละเอียด
ส่องฟีเจอร์ Active Zone Minutes หรือตัวช่วยระบุอัตราการเต้นหัวใจแบบเฉพาะตัว ซึ่งใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์วัดการเต้นของหัวใจอย่าง PurePulse 24/7 ช่วยแนะนำการออกกำลังกายหรือการเคลื่อนไหวให้เข้ากับเป้าหมายรายวันหรือรายสัปดาห์ได้
อีกฟีเจอร์ยอดนิยม Sleep Score ตรวจจับการนอนหลับพร้อมให้คะแนนการนอน เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ใส่ใจการนอนหลับให้มากขึ้น ส่วนผลการวัดก็ยังออกมาละเอียด ตรวจจับการหลับน้อยหรือหลับลึกได้หมด และบอกได้ว่านอนแบบไหนไปกี่นาทีแล้ว
ปิดท้ายด้วยฟีเจอร์ COVID-19 ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาในแอปฯ fitbit ซึ่งจะช่วยแนะนำแอปฯ (สำหรับสมาร์ทวอทช์ของ fitbit) หรือโปรแกรมออกกำลังกายในช่วง WFH หรือกักตัวอยู่บ้าน
สรุป
ตัว Fitbit Charge 4 อาจเรียกได้ว่าเป็น Fitbit Charge 3 รุ่นปรับปรุงใหม่ (โดยเฉพาะส่วนภายใน) โดยมีการเพิ่ม GPS ในตัว อย่างที่เห็นในรีวิว หลังมี GPS ก็สามารถใช้งานแบบ Stand Alone แท็กการวิ่งได้ด้วยตัวเอง และกลับมาดูสถิติกับจุดที่วิ่งได้ภายหลัง เหมาะสำหรับสายวิ่งที่อยากวิ่งตัวเปล่า ๆ โดยไม่ต้องพกสมาร์ทโฟนไปทุกครั้ง ด้านประสิทธิภาพตัว GPS เอง ก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว สามารถแท็กและจับการวิ่งได้แม่นยำจริง
การควบคุม Spotify แรกแอบนึกว่าจอแบบนี้จะควบคุมยังไงได้ ผลคือควบคุมได้มากกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่กด Play/Pause หรือเปลี่ยนเพลงไปมาเท่านั้น
ประสิทธิภาพโดยรวม ตัว Fitbit Charge 4 ก็ทำหน้าที่ได้ดีสมกับเป็น Fitness Tracker ระดับ Hi-End ส่วนตัวแอปฯ ก็สามารถเก็บผลที่วัดได้หมดจด ยังและแสดงผลออกมาได้สวยงาม ดูเข้าใจง่าย ๆ มาก ติดอย่างเดียวคือ ยังไม่รองรับภาษาไทย ในขณะที่คู่แข่งมีภาษาไทยแทบจะ 100% แล้ว
สุดท้ายนี้ Fitbit Charge 4 เปิดราคาที่ 6,490 บาท มี 2 สีให้เลือกระหว่าง Black กับ Rosewood สำหรับรุ่น Charge 4 Special Edition ซึ่งมาพร้อมกับสายข้อมือสีดำแกรนิตและสายสีดำแบบธรรมดา ปิดราคาที่ 6,990 บาท และยังเปิดให้ทดลองใช้ Fitbit Premium แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 90 วัน
ข้อดี
- ดีไซต์สวยแบบพอดี ไม่เด่นจนเกินไป
- แข็งแรงทนทาน สายรัดคุณภาพสูงมาก
- ฟีเจอร์ GPS ดีงาม
- ควบคุม Spotify ได้ดีกว่าที่คิด
- มีประสิทธิภาพการวัดได้แม่นยำดี
ข้อสังเกต
- ปุ่มกดสัมผัสแอบกดยากไปนิดในบางจังหวะ
- ไม่รองรับภาษาไทย
- ฟีเจอร์หลาย ๆ อย่างจะทำงานได้เต็มที่ หากมี Fitbit Premium