รีวิว ชิปตัวแรง แถมรักษ์โลก Intel® Core™ i7-13700K

รีวิววันนี้ เราอยู่กับ Intel® Core™ i7-13700K หรือ Raptor Lake 13th Gen Intel Core Processor ชิปที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานและการเล่นเกมได้แบบขั้นสุด โดยได้เพิ่มจำนวน Core และ Thread ที่มากขึ้น และยังมี Turbo Boost สูงถึง 5.40 GHz แต่อัตราการกินไฟเท่าเดิม  

ทำไมต้อง 13th Gen Intel Core Processor

Raptor Lake 13th Gen Intel Core Processor เป็นการต่อยอดความสำเร็จของเจน 12 ในสถาปัตยกรรมแบบ Hybrid Core ให้มีประสิทธิภาพที่ก้าวกระโดดไปอีกขั้น เอาใจคนยุคใหม่ที่ต้องการความแรง ความเสถียร การประหยัดไฟ พร้อมทั้งตอบโจทย์การเปิดใช้งานทุกๆ โปรแกรมพร้อมกันได้แบบไม่มีสะดุดด้วย Intel Thread Director

ในรุ่นท็อปสุดของเจนใหม่อย่าง Intel® Core™ i9-13900K ให้ความเร็วสูงสุดในโลกที่ 5.8GHz มีการเพิ่ม Core ให้ใช้มากขึ้นถึง 24C/32T  ให้ประสิทธิภาพ Single-Thread เพิ่มขึ้นถึง 15% และ Multi-Thread แรงขึ้นถึง 41%

จากการเพิ่ม E-Core ให้มากกว่าเดิมอีก 2 เท่า เริ่มตั้งแต่ Core i5 มีผลทำให้เจน 13 ประหยัดไฟได้มากกว่าเดิมถึง 4 เท่า เมื่อเทียบประสิทธิภาพการใช้งานที่เท่ากันกับเจนก่อนหน้า นอกจากนี้ยังเพิ่ม L3 และ L2 Cache memory ให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับโปรแกรมที่ทันสมัย รองรับการเชื่อมต่อที่คล่องตัวมากขึ้นด้วยการเพิ่ม PCIe Gen 4 ให้มากขึ้นถึง 20 เลน และ PCIe Gen 5 ที่ทันสมัยอีก 16 เลนเลยทีเดียว

สำหรับ CPU ที่เราได้มารีวิววันนี้เป็นรุ่น Intel® Core™ i7-13700K ซึ่งแม้จะเป็นรองแค่ i9 เจน 13 แต่ให้ประสิทธิภาพที่ครอบคลุมสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ ทั้งการเล่นเกมและการทำงาน  มาพร้อมจำนวนคอร์  16C/24T  แบ่งเป็น P-core จำนวน 8 คอร์ และ E-core 8 คอร์ ความถี่เทอร์โบสูงสุดที่ 5.40 GHz  มีอัตราการกินไฟที่ 125 วัตต์เท่ากับเจนก่อนหน้า  

ทำไมต้องเป็นสถาปัตยกรรมแบบไฮบริด อินเทลมองว่า เราไม่ได้ใช้งานหนัก ๆ ตลอดเวลา การแยก P-core และ E-core  จะตอบที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้มากกว่า โดย  Efficiency core (E-Core)  จะรันตอนทำงานเบาๆ เปิด Word , Powerpoint , โปรแกรมออฟฟิสอื่น ๆ หรือนั่งดู Youtube ซึ่งคอร์เหล่านี้ความแรงพอที่ใช้งานเบาๆ ได้สบาย ประโยชน์คือมีความร้อนน้อยกว่า กินไฟน้อยกว่า ช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น 

ถัดมาคือ Performance core (P-core) ตามชื่อเลยคือให้ประสิทธิภาพสูง ความแรงมาก ทำงานหนักได้สบาย แต่กินไฟมากขึ้นนิดหน่อย ช่วยในการเล่นเกมที่มีรายละเอียดเกมสูงมาก ๆ  ช่วยเรนเดอร์วีดีโอหนัก ๆ หรือใช้สำหรับการทำงานแบบ Multitasking ที่ต้องเปิดโปรแกรมหลายอย่างพร้อมกัน ช่วยให้ใช้งานได้อย่างไม่มีสะดุด

นอกจากนี้ยังมี Intel Thread Director ซึ่งเป็นตัวจัดการลำดับการทำงานของแกนประมวลผลในซีพียูระหว่าง P-core และ E-core เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างลื่นไหล โดยระบบดังกล่าวจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเมื่อใช้งานควบคู่กับ Window 11 ครับ 

แต่ชิปแรงเพียงอย่างเดียว อาจไม่พอ เพราะ CPU จำเป็นต้องพึ่งพาฮาร์ดแวร์อื่น ๆ ในการทำงานร่วมกัน ซึ่งจะช่วยดึงประสิทธิภาพของชิปออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยเครื่องที่เราได้มาทดสอบคู่กับ Intel® Core™ i7-13700K เป็นเซ็ตเกมมิ่งจาก ASUS ครับ

รายละเอียดสเปค

ก่อนเข้าเรื่องทดสอบ มาดูความสวยงามของ DIY Gaming Computer Set จาก ASUS กันหน่อย

ทดสอบประสิทธิภาพ Intel® Core™ i7-13700K  

ทดสอบ Multitasking กับฟีเจอร์ Intel Thread Director

ในวีดีโอทดสอบด่านแรก ผมได้ทดลองใช้งาน  Intel Thread Director โดยการเล่นเกมทริปเปิล A อย่าง Cyberpunk 2077  ซึ่งนับว่าเป็นเกมที่กินสเปคเครื่องอย่างมาก ระหว่างที่ไม่เปิดโปรแกรมอื่น ๆ เลย กับเปิดโปรแกรมเพิ่มเติมอย่าง Premiere Pro , เปิดแท็บ Chrome เยอะ ๆ , เปิด Email และโปรแกรมอื่น ๆ  ซึ่งในเกมมีการปรับการตั้งค่าให้สุดทุกอย่าง ปรับภาพเป็นระดับ Ultra ทั้งหมด ความละเอียดแบบ 2K (จอรองรับแค่ 2K)  เพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แท้จริงของ CPU ครับ 

การทดสอบแบบไม่เปิดโปรแกรมใด ๆ 

ในการเล่นเกมแบบไม่เปิดโปรแกรมใด ๆ เพิ่ม อัตราเฟรมเรทจะอยู่ระหว่าง 125-135 FPS ครับ  และมีอัตราการใช้พลังงาน 450 – 500 วัตต์ 

การทดสอบโดยเปิดโปรแกรมอื่นควบคู่

หากมีการเปิดโปรแกรมอื่น ๆ เพิ่มเติม และเกมเล่นไปด้วย อัตราเฟรมเรทจะอยู่ระหว่าง 100-135 FPS ครับ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า มันแทบจะไม่มีผลอะไรเลย ส่วนอัตราการกินไฟ จะอยู่ที่ประมาณ 480 – 500 วัตต์ แทบจะไม่แตกต่างอีกเหมือนกัน

เพิ่มเติมนะครับ ในการบันทึกวีดีโอการเล่นเกม ผมได้บันทึกหน้าจอด้วยโปรแกรม Bandicam ซึ่งเป็นโปรแกรมที่กินสเปคเครื่องระดับหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เป็นปัญหาในการทดสอบประสิทธิภาพแม้แต่น้อย

ทดสอบงานตัดต่อผ่าน Premiere Pro โดยเปิดใช้งาน Intel Quick Sync Video 

ด่านทดสอบถัดมาคือการใช้งานโปรแกรมที่คนนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน นั่นคือ Premiere Pro ครับ คิดว่าหลายคนน่าจะเคยเจอปัญหาที่ว่าคอมแรงก็จริง แต่ทำไมยังใช้ Premiere Pro แล้วกระตุกอยู่ สงสัยไหม ?  หลายคนโทษว่าอาจเป็นเพราะระบบปฏิบัติการหรือเปล่า จนถึงขั้นเปลี่ยนไปใช้ OS อื่นเลยก็มี

จริง ๆ แล้วปัญหานี้แก้ได้ง่ายมากนะ โดย Intel แนะนำให้เราใช้งาน  Intel Quick Sync Video เพิ่อให้สายตัดต่อได้เห็นประสิทธิภาพที่แท้จริงของชิป โดยการเข้าไปเปิด iGPU ใน BIOS ของเมนบอร์ดแต่ละรุ่น เพื่อให้ชิปการ์ดจออนบอร์ด ทำงานคู่กับการ์ดจอแยกได้อย่างแนบสนิท รวมทั้งยังทำให้เรนเดอร์งานได้เร็วขึ้นด้วย Duo Codec ครับ 

ผมได้ทดสอบโดยการปิด iGPU และเปิด iGPU ตัดต่อไฟล์วีดีโอความละเอียด 4K เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจน

ไม่เปิด iGPU 

ในคลิปนี้ เราจะเห็นอาการเมาส์วาปอย่างชัดเจน

เปิด iGPU

หลังจากเปิด iGPU แม้จะมีการตัดคลิปรัว ๆ (ภาษา Premiere Pro เรียกสับ) โปรแกรมก็ลื่นไหล ไม่มีสะดุด จนทีมงานตัดต่ออยากเปลี่ยนกลับมาใช้ Window กันเลยทีเดียว  

สำหรับการใช้ Premiere Pro อัตราการใช้พลังงานอยู่ระหว่าง 110 – 140 วัตต์ และระหว่างเรนเดอร์ อัตราการใช้พลังงานขึ้นไปอยู่ประมาณ 200 วัตต์ ++ แต่ไม่เกิน 240 วัตต์ ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่น่าพอใจครับ  

และระหว่างปิด iGPU และ เปิด iGPU อัตราการกินไฟเฉลี่ยก็พอ ๆ กัน แทบไม่แตกต่าง ไม่มีผลในการกินไฟเพิ่มครับ 

 ดูผลทดสอบกันไปแล้ว ไปดูคะแนน BenchMark ของแต่ละโปรแกรมกันบ้างดีกว่า 

 

PCMARK 10

CINEBENCH R15

CINEBENCH R20

CINEBENCH R23

สำหรับโปรแกรม CINEBENCH จะเห็นว่า Intel® Core™ i7-13700K อยู่ในระดับท็อปของแต่ละโปรแกรมทั้งนั้นเลย 

3DMark CPU Test 

3DMark Time Spy

Geekbench

ดูลิงค์รายละเอียดทั้งหมดได้ที่  https://browser.geekbench.com/v5/cpu/19386309 

CrystalDiskMark

CPU & GPU – Z

สรุป

ผมเชื่อว่า หากพูดถึงแบรนด์อินเทล หลายคนคงนึกถึงความเสถียร มีความน่าเชื่อถือและไว้ใจได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเล่นเกม การใช้งานแบบ Multitasking ซึ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอยู่เสมอ 

หนึ่งในเหตุผลที่ยืนยันในเรื่องนี้ได้ ผมอยากให้ทุกคนนึกคอมพิวเตอร์ Mac ในรุ่นต่าง ๆ ของ Apple ซึ่งในอดีต Apple เลือกใช้งานชิป intel กับผลิตภัณฑ์ Mac ทุกรุ่น และแม้ Apple จะมีแนวคิดในการสร้างชิปของตัวเองมาใช้งานบ้าง แต่ในรุ่นท็อปสุดอย่าง Mac Pro ยังคงต้องพึ่งพาชิปจาก intel อยู่ นี่เป็นการตอกย้ำว่า Apple นั้นต้องการความเสถียร ประสิทธิภาพ และความแรงในการใช้งานระบบ เพื่อให้การทำงานต่าง ๆ ทำได้อย่างราบลื่น 

สำหรับ Intel® Core™ i7-13700K มีราคาอยู่ที่ 18,xxx บาท มีจำนวนคอร์ที่ 16C/24T  แบ่งเป็น P-core จำนวน 8 คอร์ และ E-core 8 คอร์ ความถี่เริ่มต้นที่ 3.4 GHz Turbo Boost สูงสุดที่ 5.40 GHz  อัตราการใช้พลังงานสูงสุด 253 วัตต์ มีฟีเจอร์เด่นอย่าง  Intel Thread Director ที่ช่วยจัดการปริมาณงาน และ Intel Quick Sync Video ที่เข้ามากำจัดจุดอ่อนของการใช้งานโปรแกรมตัดต่อบน Window ก็นับว่าคุ้มสุด ๆ นับเป็นตัวเลือก  CPU  ที่ให้ประสิทธิภาพในการใช้งานกับผู้ใช้ทั่วไปได้ครอบคลุมอย่างถึงที่สุดแล้ว 

แต่หากใครยังกลัวว่าไม่สุด สามารถขยับไปเป็น Intel® Core™ i9-13900K ซึ่งมีจำนวนคอร์ 24C/32Tและเทอร์โบบูส 5.80 GHz เหมาะแก่การใช้งานในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เครื่องที่ต้องการพลังประมวลผลหนัก ๆ เครื่องที่ใช้งานตัดต่อแอนนิเมชั่นหรือภาพยนต์ในสตูดิโอที่มีหลายเลเยอร์ อันนี้ เหมาะมากครับ 

สำหรับใครที่กำลังจะจัดเสปคคอมใหม่ หากต้องการความเร็ว แรง มีความเสถียร ไว้ใจได้เพราะขนาดแบรนด์ระดับโลกยังเลือกใช้ แถมรักษ์โลกด้วย ต้อง intel เท่านั้น มีจำหน่ายที่ร้านค้าชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Advice , JIB , IT CITY , Banana IT และ Speed Computer

 

Shops
แชร์ :
review
  • วัสดุ / การออกแบบ
    (4.5)
  • สเปค / ฟีเจอร์
    (5)
  • ราคา / ความคุ้มค่า
    (5)
4.8
Comments Rating 0 (0 reviews)

Leave a Reply

User Review
  • วัสดุ / การออกแบบ
    Sending
  • สเปค / ฟีเจอร์
    Sending
  • ราคา / ความคุ้มค่า
    Sending

Follow us
Most popular
Category
Tag

Relate Article