หลังการมาของ 12th Gen Intel Core ชิปซีพียูตัวล่าสุดจาก Intel ที่มาพร้อมประสิทธิภาพชวนตะลึงไปทุกสำนัก ไหนจะตัว Intel Core i5 ที่แรงเทียบได้กับ Intel Core i9 เจนก่อน หรือตัว Hybrid Core ที่มาพร้อม P-Core และ E-Core แบบใหม่ ช่วยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปอีก
ล่าสุดทาง Intel อยากให้พิสูจน์สโลแกน “เร็ว แรง ครบ จบทุกการใช้งาน” จึงส่งตัว Lenovo Legion 5i Pro มาพร้อม Intel Core i7-12700H + RTX 3060 ชูการทำงานแบบ Mega-Tasking ลุยได้ทั้งเกม ทั้งสตรีมมิ่ง และการอัดวิดีโอ โดยที่ fps หรือเฟรมเรตเกมไม่สะดุด ซึ่งทั้งหมดทำได้ในเครื่องเดียวด้วย เกริ่นมาขนาดนี้ มันต้องก็พิสูจน์ให้เห็นจริง ๆ เท่านั้น โดยจะไม่สะดุดจริงไหม ลองมาดูกันครับ
Lenovo Legion 5i Pro (2022)
Display : 16″ WQXGA (2560×1600), IPS, Anti-Glare, Non-Touch, HDR400, 100%sRGB, 500 nits, 165Hz, Narrow Bezel
CPU : Intel Core i7-12700H [14C (6P + 8E) / 20T, P-core Turbo Boost up to 4.7 GHz , E-core Turbo Boost up to 3.5GHz , 24MB]
VGA : NVIDIA GeForce RTX 3060
RAM : 16GB 2x 8GB SO-DIMM DDR5-4800
SSD : 2TB PCIe 4.0 M.2 2280 NVMe
Port : ด้านซ้าย USB Type-C (USB 3.2 Gen 2, DisplayPort 1.4) x 1 , Thunderbolt 4 x 1 ด้านขวา USB-A 3.2 Gen 1 x 1 x E-Shutter Button 1 ข้าง , Headphone / Mic combo x 1 หลัง USB Type-C (USB 3.2 Gen 2, DisplayPort 1.4) x 1 , USB-A 3.2 Gen 1 x 2 , HDMI 2.1 x 1 , LAN RJ45 x 1 ,Power in
Wireless : 802.11ax (2×2) & Bluetooth 5.1
Weight : 2.49 KG
Color : Storm Grey
OS : Windows 11 Home 64bit
งานออกแบบ
ลองมาดูความสวยงามของตัว Lenovo Legion 5i Pro กันก่อน ตัวเครื่องจัดเป็นโน้ตบุ๊กเกมมิ่งระดับ Hi-End ดังนั้นงานออกแบบ วัสดุ และงานประกอบ บอกเลยว่าพรีเมียม, สมฐานะ อลูมิเนียมทั้งตัว และหล่อสมกับความแรงของมันกันเลย ตัวเครื่องมาพร้อมสีเทา Storm Grey แต่บางครั้งก็เห็นเป็นสีดำได้เช่นกัน
ด้านขนาดตัวเครื่องก็อยู่ที่ 359.9 x 264.4 x 19.9 mm กับน้ำหนัก 2.49 kg อาจดูหนาหนัก แต่หากเทียบกับโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสเปกระดับ Hi-End ในสมัยก่อน ถือว่าบางมากแล้ว
พอร์ตจัดเต็ม มีให้แทบทุกพอร์ตกันเลยอาทิ [ด้านซ้าย] USB Type-C (USB 3.2 Gen 2, DisplayPort 1.4) x 1 , Thunderbolt 4 x 1 [ด้านขวา] USB-A 3.2 Gen 1 x 1 x E-Shutter Button 1 ข้าง , , Headphone / mic combo x 1 [หลัง] USB Type-C (USB 3.2 Gen 2, DisplayPort 1.4) x 1 , USB-A 3.2 Gen 1 x 2 , HDMI 2.1 x 1 , LAN RJ45 x 1 ,Power in
หน้าจอ IPS ขนาด 16 นิ้ว ความละเอียด WQXGA (2560×1600), IPS, Anti-Glare, Non-Touch, HDR400, 100%sRGB, 500 nits, 165Hz, Narrow Bezel นับว่าเป็นสเปกหน้าจอในฟังของเกมเมอร์หลาย ๆ คนเลย ซึ่งประสิทธิภาพก็ตามกับสเปก แสดงผลได้สวยสด คมชัด และลื่นไหลอย่างมาก
ตัวคียบอร์ดก็มาพร้อมไฟ RGB ตามพรบ.เกมมิ่ง (ฮ่า) ของมันต้องมีจริง ๆ และแน่นอนว่าสามารถปรับแสงสีเอฟเฟคเพิ่มเติมได้ (ผ่าน Lenovo Vantage) แบ่งเป็น 4-Zone ส่วนตัวปุ่มคียบอร์ดก็มีชื่อหล่อ ๆ ว่า Legion TrueStrike เป็นปุ่มกดแบบสวิตช์ซอฟต์แลนดิ้ง ที่เป็นนวัตกรรมใหม่จาก Lenoo ช่วยให้กดได้ลึกขึ้นและมีแรงเท่า ๆ กันในทุกการกดหรือการโจมตี สุดท้าย Touch Pad ขนาด 75 x 120 mm ที่ใหญ่กำลังดี
Lenovo Legion 5i Pro
ฟีเจอร์เด่นของตัว Legion 5i Pro
ขึ้นชื่อว่าโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง ก็ต้องมีฟีเจอร์สนับสนุนด้านเกมมิ่งเด่น ๆ ตัวเครื่อง Lenovo Legion 5i Pro ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อัดฟีเจอร์มาแบบเต็มตามนี้
Lenovo Vantage โปรแกรมหรือแอปฯ ช่วยควบคุมตัวเครื่อง ได้ตั้งแต่การ Overclock ในปุ่มเดียว ไปจนถึงการเช็คสภาพเครื่องในปุ่มเดียวเช่นกัน ซึ่งทำทั้งหมดนี้ได้ในแอปฯ เดียว
หน้าปรับแต่งเอฟเฟคไฟ RGB แบบ 4-Zone ของคียบอร์ด
ปุ่มลัดเรียกใช้ฟีเจอร์ด่วน
ระบบตัดเสียงรบกวนด้วย AI เอาไว้ใช้แคชเกมหรือคุยงานได้เลย และลำโพง Stereo 2W x 2 กับระบบเสียงจาก Nahimic Audio และชิปเสียงจาก Realtek ALC3287 ในตัว
ระบบระบายความร้อนด้วย Legion Coldfront 4.0 ช่วยระบายความร้อนจากทั้ง CPU และ GPU พร้อมลดเสียงรบกวนของพัดลมโดยรวมด้วย
จุดเด่นของ 12th Gen Intel Core Processors
จุดสำคัญของตัว Lenovo Legion 5i Pro ครั้งนี้เลยคือ Intel Core i7-12700H เป็นซีพียูประสิทธิภาพสำหรับโน้ตบุ๊กเกมมิ่งตัวล่าสุด ซึ่งมีจุดเปลี่ยนสำคัญคือมีการใช้ Hybrid Core แบ่งเป็น P-Core (Performance Core) และ E-Core (Efficiency Core) บางคนเห็นข้อสเปกตัว i7-12700H ที่มีจำนวนคอร์เป็น 14C (6P + 8E) / 20T, P-core คงจะงง ๆ ว่ามันคือยังไง ไม่เคยเห็นสเปก Core แบบนี้มาก่อน เดี๋ยวหัวข้อมาอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ กันครับ
จุดเด่นของซีพียู 12th Gen Intel Core Processors คือเป็น Hybrid Core ที่มาพร้อม Core สองประเภทคือ P-Core (Performance Core) เป็นคอร์ที่เน้นประสิทธิภาพตามชื่อเลย ส่วน E-Core (Efficiency Core) คือคอร์ประหยัดพลังงาน เมื่อมีทั้ง P-Core กับ E-Core แล้ว ก็จะส่งผลให้เครื่องคอมฯ ที่ใช้ซีพียูนี้ มีประสิทธิภาพมากขึ้นแบบเห็นได้ชัด
กล่าวคือตัว P-Core ก็มุ่งประมวลผลงานหนัก ๆ อย่าง Worksation หรือ Gaming ไปเลย โดยมีส่วน AI มาช่วยงานด้วย ส่วน E-Core ก็ทำหน้านี้ประมวลผลส่วนอื่น ๆ (แต่มีความแรงพอ ๆ กับเจน 10) ทำให้ไม่ต้องแบ่งพลังประมวลผลจาก P-Core หรือคอร์เดิมที่ควรจะทำหน้าที่ประมวลผลการใช้งานหลักนั้นเอง และยังช่วยให้ทำงาน Multi Thread ได้ดีขึ้น กับใช้พลังงานน้อยลงด้วย แน่นอนว่าตัวที่จะมาจัดการส่วนนี้ ก็ต้องมีเทคโนโลยีเฉพาะเข้ามาช่วย นั้นคือ Intel Thread Director ที่คอยทำหน้านี้แจกจ่ายงานให้เหมาะกับสมกับ P-Core กับ E-Core นี้เอง ทำให้สามารถเปิดทุกโปรแกรมพร้อมกันได้โดยไม่สะดุด ทำให้ทุก ๆ โปรแกรมยังคงแรงเหมือนเดิม นิ่ง และเสถียร ไม่ต่างจากการใช้งานโปรแกรมเดียว
สรุปง่าย ๆ คือ เป็นซีพียูที่ให้ความสำคัญทั้งประสิทธิภาพและการใช้พลังงานที่สมดุลควบคู่กัน ส่งผลให้ได้ความแรงเพิ่มขึ้น แบตฯ อึดขึ้น เปิดโปรแกรมพร้อมกันได้หลายตัว และช่วยให้ใช้งานโปรแกรมใหญ่ ๆ อย่างเกมหรือโปรแกรมทำงานทั้งหลายได้ดีขึ้นนั้นเอง แต่แค่อธิบายคงยังไม่เห็นภาพ เดี๋ยวลองมาดูประสิทธิภาพแบบชัด ๆ ด้วยการทดสอบ Mega-Tasking โดยการเปิดใช้งานโปรแกรมหลาย ๆ ตัวพร้อมกัน ซึ่งตัว Hybrid Core ของ 12th Gen Intel Core Processors จะทำได้ขนาดนั้น ลองมาดูด้วยตากันเลยครับ
งาน Mega-Tasking
“เร็ว แรง ครบ จบทุกการใช้งาน” จริงหรือ ? เป็นคอนเซ็ปต์ของการรีวิวนี้เอง ซึ่งเราได้ทราบในส่วนของซีพียู 12th Gen Intel Core Processors ที่มีจุดเด่นอย่าง Hybrid Core ช่วยให้มีประสิทธิภาพทำงาน Multi Thread ได้ดี ในการทดสอบนี้ก็ขอเป็น Mega-Tasking จัดไปทั้งเล่นเกม ทำสตรีมออนไลน์ และอัดหน้าจอหรือบันทึกวิดีโอไปด้วย เรียกได้ว่าหากจะใช้งานแบบนี้ อาจต้องเพิ่งการ์ด Capture มาช่วยงานเท่านั้น แต่สำหรับตัว Lenovo Legion 5i Pro ที่มาพร้อม Intel Core i7-12700H กับ RTX 3060 ขอโชว์ลุยงานเหล่านี้ด้วยตัวเองเลย
ประเดิมด้วยเกม Apex Legends ปรับภาพกราฟฟิกเป็น High พร้อมเปิดสตรีมด้วยโปรแกรม OBS (Open Broadcaster Software) ลง Facebook เปิด Chrome Browser และอัดวีดีโอหน้าจอเกมด้วย Xbox Game Bar ผลคือ “น่าทึ่ง”
เล่นเกมปกติก็มีเฟรมเรตอยู่ราว ๆ 90 – 140 fps แล้ว แต่พอเป็นชุด Mega-Tasking นี้ เฟรมเรตแทบไม่ลดลงเลย มีตกไปบ้าง 5 – 10 fps ในบางจุด แต่การเล่นยังคงลื่นไหลสุด ๆ ไม่มีอาการกระตุกให้เห็นแม้แต่น้อย เรียกได้ว่า Hybrid Core ของ 12th Gen Intel Core Processors อย่าง Intel Core i7-12700H ทำหน้าที่ได้สมคำคุย และทำงานร่วมกับตัว RTX 3060 ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน นับว่าหากจะหาโน้ตบุ๊กเกมมิ่งมาเล่นเกม ก็มองหาสเปก Intel โดยเฉพาะ Intel 12th Gen ไปเลย
แถมอีกช็อต (มีฉากปะทะ) อัดวิดีโอจากเครื่องเดียวกัน แน่นอนว่ากำลังสตรีมด้วย
แต่เกมเดียวอาจไม่เห็นผล ต่อไปลองเกม Elden Ring ด้วย ต้องบอกก่อนว่าเกมนี้ เดิมเป็นเกมสำหรับเครื่อง PS5 กับ XBox One ทำให้มีเฟรมเรตตันที่ 60 fps เท่านั้น และอาจมี ‘ฺBug’ ในบางจุด ส่วนการทดสอบ ก็ทำแบบเดียวกับเกม Apex Legends เลย ปรับภาพสุด (FHD) พร้อมเปิดสตรีมกับอัดหน้าจอไปด้วย ผลคือเฟรตลดจาก 60 fps เหลือประมาณ 37 – 41 fps ถือว่ายังเล่นได้ลื่น แต่บางครั้งเฟรมเรตก็ตกไปเหลือ 20 – 22 fps ได้เหมือนกัน ผิดกับเกม Apex Legends อย่างเห็นได้ชัด เป็นอันรู้ว่าเกมที่จะสามารถ Mega-Tasking ได้ลื่นไหลนั้น อาจไม่ใช่ทุกเกมจริง ๆ แม้เครื่องจะมีสเปกสูงก็ตาม
ทดสอบประสิทธิภาพ
ต่อไปลองเทสประสิทธิภาพ Intel Core i7-12700H กับ RTX 3060พร้อมแรมขนาด 16GBDDR5 ในตัว Lenovo Legion 5i Pro ดูกันว่าจะทำคะแนนได้เยอะแค่ไหนกันครับ
ลองใช้ CPU-Z เทส Bench เทียบกับซีพียู i9-9900KF อดีตตัว Top จากเจน 9 ผลคือประสิทธิภาพต่อคอร์ i7-12700H แรงกว่า ส่วน Muti Thread ก็ใกล้เคียงกันมาก บ่งบอกเลยว่าตัว i7-12700H มีประสิทธิภาพขนาดไหน
เทสความเร็วอ่านเขียนของ SSD ขนาด 2TB กับ PCIe Gen 4 ก็ได้ความเร็วระดับ…..โอ้ว มาย ก็อด ได้ไปถึง 13,318 MB/s และเขียนถึง 10,391 MB/s เกินหมื่นทั้งคู่ !!
เทส Cinebench R23 ได้คะแนน 8332 pts สำหรับ Mutli Core และ 1756 pts สำหรับ Single Core ส่วน Cinebench R20 ได้ 3969 pts และสุดท้าย Cinebench R15 ได้ Open GL ไป 213.86 fps กับ CPU ได้ 1608 cb
ผลเทสจาก 3D Mark ตัว RTX 3060 เอาแค่คะแนนที่ได้จาก Fire Strike Ultra ซึ่งได้ไป 4885 คะแนน ก็เห็นได้ถึงความแรงสมกับสเปกแล้ว
ส่วนคะแนน PC Mark 10 ทั้ง 3 เวอร์ชั่น ก็ตามนี้ได้ ดูจากตัว PC Mark 10 ที่ได้ไป 6551 ก็การันตีแล้วว่า ใช้งานได้แรมครอบคลุมทั้ง Work , 3D และ Gaming
ปิดท้ายด้วย CPU Profire จาก 3D Mark อีกรอบ ส่วนนี้ได้คะแนน Threads ตามนี้เลย นับว่าเป็นซีพียูประสิทธิภาพโดยแท้
Gaming Test
มาถึงส่วนเกมมิ่งกันแล้ว ในส่วนนี้แน่นอนว่าทุกเกมปรับภาพกราฟฟิกแบบจัดเต็มทั้งหมด และจะลื่นไหลขนาดไหนนั้น ลองดูได้ตามนี้
Elden Ring ปรับสูงสุด พร้อมความละเอียด WQXGA (2560×1600) ผลคือได้เฟรมเรตนิ่ง ๆ ที่ 57 – 60 fps ตาม Max ของตัวเกมเลย
Apex Legends ปรับสุด เล่นได้เกิน 100 fps สบาย ๆ
ปิดท้ายด้วย Cyberpunk 2077 สำหรับเกมนี้ ปรับทั้งภาพทั้ง Ray Tracing สูงสุด ก็ได้เฟรมเรตราว ๆ 32 fps ถือว่ายังไม่ลื่นมากพอ จึงขอเปิด DLSS เน้น “ความลื่นไหลขีดสุด” ก็เลยได้เฟรมเรตพุ่งขึ้นมาที่ 50 – 60 fps กันเลย
ลื่นขนาดไหนนั้นลองดูวิดีโอนี้ได้ หาโน้ตบุ๊กเกมมิ่งมาเล่นเกม มองหาสเปก Intel โดยเฉพาะ Intel 12th Gen ไว้เลยครับ